cpall, PPAC, ค้นหาตัวตน, ค้นหาศักยภาพ, วิเคราะห์ศักยภาพ, สแกนลายนิ้วมือ, สแกนลายผิว

P-PAC กับการศึกษา

cpall, PPAC, ค้นหาตัวตน, ค้นหาศักยภาพ, วิเคราะห์ศักยภาพ, สแกนลายนิ้วมือ, สแกนลายผิว

ทันทีที่ผมรู้ว่ามีศาสตร์ “Dermatoglyphics” ผมไม่ได้มองเฉพาะ
ประโยชน์ภายในองค์กร แต่ยังคิดถึงไกลไปถึงพ่อแม่ที่บังคับข่มขู่ เคี่ยวเข็ญ
หรือพยายามหว่านล้อมให้ลูกเรียนในสิ่งที่พ่อแม่เลือกให้ และลูกก็ไม่กล้า
ปฏิเสธทั้งที่ใจรักอย่างอื่นมากกว่า ผมจึงคิดว่า”P-PAC” น่าจะเป็น
อาวุธสำหรับลูกๆเอาไว้รับมือพ่อแม่จอมยุ่งเหล่านี้ได้ เพราะอนาคต
ชีวิตในอีก 10 – 20 ปีข้างหน้าของเด็ก เป็นของเขาเองหรือของพ่อแม่
กันแน่
ผมมีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งอยากให้ลูกๆเรียนคณะวิศวะฯ ลูก
คนโตนั้นอยากเรียนคณะสถาปัตย์มากกว่า แต่ไม่อยากขัดใจแม่จึงสอบเข้า
ไปเรียนในคณะวิศวะฯ พอถึงคราวที่คนน้องต้องสอบบ้าง แม่ก็อยาก
ให้เลือกคณะวิศวะฯอีก แต่คราวนี้น้องไม่ยอมเพราะอยากเรียนนิเทศ-
ศาสตร์มากกว่า ทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้น เมื่อเราตั้ง”P-PAC
เพื่อนร่วมงานท่านนี้จึงได้พาลูกทั้งสองคนมาใช้บริการ ตอนแรกวิเคราะห์
คนน้องคนเดียวเพราะคนพี่ไม่เชื่อไม่เอาด้วย บอกว่างมงายเหมือนหมอดู
แต่เมื่อได้เข้าฟังผลวิเคราะห์ของคนน้องเสร็จ ปรากฏว่าผลวิเคราะห์บุคลิก
อุปนิสัยตรงมาก และทำให้แม่ยอมรับความถนัดของคนน้องที่มีศักยภาพ

ในทางนิเทศฯมากกว่า คนพี่จึงเปลี่ยนความคิดและอยากวิเคราะห์บ้าง
สุดท้ายเมื่อวิเคราะห์แล้วผลประเมินมาว่าคนพี่นั้นเหมาะกับงานด้าน
สถาปัตย์ ทีนี้ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่าจะตัดสินใจอย่างไร จะเรียนต่อบน
เส้นทางเดิม หรือจะเบนเข็มเปลี่ยนไปตามความชอบของตน
มีผู้ปกครองหลายคนที่เพิ่งได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของบุตรหลาน
หลังจากได้ฟังผลวิเคราะห์จาก”P-PAC” มีเด็กนักเรียนคนหนึ่ง ผู้ปกครอง
ต้องการคำปรึกษาเพื่อประกอบการเลือกสาขาวิชาในการสอบเข้า
มหาวิทยาลัย ในขณะที่ผู้ปกครองอยากให้เรียนคณะวิศวะฯ ตัวเด็กเอง
นั้นรู้ตัวว่าไม่ชอบเรียนคณะวิศวะฯเลย แต่ชอบทางด้านศิลปะหรือทาง
ดนตรีมากกว่า แต่ไม่กล้าอธิบายหรือโต้แย้งกับผู้ปกครอง ในตอนที่
นักวิเคราะห์ของเราสรุปเรื่องบุคลิกภาพ แล้วบอกว่าเด็กนั้นมีความเป็น
ผู้นำสูง และเป็นคนสนุกสนานกล้าแสดงออก ผู้ปกครองได้ฟังก็แย้งขึ้น
ว่าสงสัยจะวิเคราะห์ผิดแล้ว ลูกผมออกจะเป็นคนเงียบเสียด้วยซ้ำ เมื่อ
ได้ซักถามกันไปมาก็ปรากฏว่า เด็กคนนี้เมื่ออยู่ในบ้านผู้ปกครองจะดูแล
กำกับอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เด็ก ทำให้บุคลิกและศักยภาพหลายอย่างถูกกด
ไว้ แต่เมื่อออกสู่โลกภายนอกหรือในโรงเรียน เด็กมีอิสรภาพกล้าแสดง
ตัวตนที่แท้จริงออกมาในลักษณะตรงกันข้ามกับที่บ้าน กลายเป็นว่าอยู่
โรงเรียนกลายเป็นหัวหน้าก๊วน สนุกสนานเฮฮาต่างกับตอนอยู่ที่บ้านอย่าง
สิ้นเชิง

ในกรณีนี้นักวิเคราะห์ของเรายังได้อธิบายเสริมให้ผู้ปกครอง
เนื่องจากสมองด้านขวาของเด็กซึ่งเป็นด้านศิลปะนั้นโดดเด่น
กว่าสมองซีกซ้าย เด็กคนนี้จึงมีความสุขอยู่กับการได้ใช้ความคิดและการ
สร้างสรรค์จินตนาการในเชิงศิลปะมากกว่า จึงน่าจะส่งเสริมในด้านวิทยา-
ศาสตร์ประยุกต์ เช่น เรียนด้าน Graphic Design หรือด้านการสร้าง
3D Animation และหวังว่าการวิเคราะห์ครั้งนี้ จะทำให้ผู้ปกครอง
ยอมรับและเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาได้
ตามทฤษฎีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ของ
ศ.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาศักยภาพและความถนัดของคนแล้ว
ค้นพบว่า แต่ละคนจะมีศักยภาพความถนัดต่างกันไป ตัวอย่างง่ายๆที่
เห็นกันอยู่ทุกวันก็คือเด็กชั้นเรียนเดียวกัน สอนด้วยอาจารย์คนเดียวกัน
จากตำราเล่มเดียวกัน แต่ระดับการรับรู้ต่างกัน ในอดีตเรามักจะ
ตีความไปว่าเด็กหัวไม่ดีเอง แต่วันนี้เราคงต้องมาพิจารณากันใหม่ว่
ค่านิยมที่มุ่งให้ต้องเก่งเลข ต้องเก่งภาษา เหมาะกับเด็กทุกคนหรือไม่
หลักการของP-PAC ยึดตามทฤษฎีพหุปัญญา เน้นให้พัฒนา
อย่างเต็มที่ไปตามศักยภาพและความถนัดของแต่ละบุคคล โดยถือหลัก
“ส่งเสริมจุดเด่น ควบคุมจุดด้อย” แทนความเชื่อแบบดั้งเดิมที่ว่า “ด้อย
จุดไหน เสริมจุดนั้น” ซึ่งต้องทุ่มเทเวลาและทรัพยากรมากมาย แต่ได้
ผลกลับมาไม่คุ้มค่า

คัดลอกมาจากหนังสือ CEO กับความรัก บทที่ 14

อ่านบทความอื่นๆ Click link

Leave a comment